Marko Marin ChelseaGetty

เกิดอะไรขึ้นกับมาร์โก มาริน? เมสซีเยอรมันผู้ล้มเหลวกับเชลซี

จากบทสัมภาษณ์กับ Goal เมื่อปี 2016 มาร์โก มาริน พูดถึงฉายา "เมสซีเยอรมัน" ที่ติดตัวเขามายังเป็นดาวรุ่ง และตามติดเขามาตลอดว่า

"ผมไม่ค่อยได้คิดอะไรมากนักเรื่องนี้" ปีกร่างเล็กกล่าวหลังจากร่วมทัพโอลิมเปียกอสได้ไม่นาน "เมสซีก็คือเมสซี เขาอยู่ในระดับที่แตกต่างไปจากนักเตะคนอื่นๆ ในโลกอย่างสิ้นเชิง

"ทุกที่ที่ผมไป หลังจากที่ผมเล่นได้ดีแค่ไม่กี่นัด มันก็จะเป็นแบบนี้มาตลอด แม้แต่หลังจากผมเล่นเกมแรกที่นี่ มันก็เริ่มกันอีกแล้วว่า นี่คือเมสซีคนใหม่ของเรา

อ่านบทความต่อด้านล่าง

"มันก็เป็นเรื่องนี้ แต่คงไม่มีใครคิดที่จะเปรียบเทียบระหว่างผมกับเมสซีจริงๆ จังๆ หรอก มันก็แค่สไตล์การเล่นใกล้ๆ กันแค่นั้นเอง"

มารินได้รับการจับตาตั้งแต่อายุ 18 ปี ที่โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค และได้ประเดิมสนามในฐานะนักเตะอาชีพเมื่อฤดูกาล 2007-08 ซึ่งช่วยพาทีมเลื่อนชั้นสู่บุนเดสลีกา

เขาทำผลงานได้น่าประทับใจ จนติดโผเบื้องต้นของโยอาคิม เลิฟ ใน ยูโร 2008 แม้ว่าจะถูกตัดชื่อออกในวินาทีสุดท้าย

ด้วยส่วนสูงราว 170 เซ็นติเมตร และแฟนบอลกลัดบัคเรียกเขาว่า "เจ้ากล่องไม้ขีด" อย่างไรก็ดี แฟนบอลจำนวนหนึ่งเริ่มตั้งฉายาให้เขาว่า "เมสซีเยอรมัน"

การเปรียบเทียบนี้ไม่ใช่เรื่องเกินเลยไปนัก ทักษะการเลี้ยงบอล, ความคิดสร้างสรรค์ และความคล่องแคล่ว ทำให้หลายคนตั้งความหวังไว้ว่ามารินจะกลายเป็นหนึ่งในแกนนำยุคใหม่ของทีมชาติเยอรมันในช่วงเวลานั้น

Marko Marin Roter Stern 2019Getty Images

ในปี 2009 มารินย้ายไปแวร์เดอร์ เบรเมน ซึ่งเขาได้ร่วมประสานงานกับ เมซุต โอซิล และสร้างผลงานได้ดีจนติดทีมชาติเยอรมันชุดฟุตบอลโลก 2010 ด้วยกันทั้งคู่ 

มารินได้ลงเล่นในสองนัดแรก แต่หลังจากผลงานที่น่าผิดหวังในเกมแพ้เซอร์เบีย 1-0 เขาก็ไม่ถูกเลือกลงสนามอีกเลย

ขณะเดียวกัน โอซิลกลายเป็นสตาร์ของฟุตบอลโลกในครั้งนั้น ทำให้เขาได้ย้ายไปอยู่เรอัล มาดริด หลังจบทัวร์นาเมนต์ซึ่งเยอรมันคว้าอันดับสาม ส่วนมารินกลับไปอยู่กับเบรเมน และทำผลงาน 11 แอสซิสต์ในฤดูกาล 2010-11

อย่างไรก็ดี เบรเมนมีผลงานที่ย่ำแย่ในท้ายตารางของบุนเดสลีกา ทำให้มารินต้องหาโอกาสที่ดีกว่า จนกระทั่งในปี 212 เขาได้ย้ายไปอยู่กับทีมแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกออย่างเชลซี ซึ่งมีโรแบร์โต ดิ มัตเตโอ เป็นโค้ช

มารินทำผลงานในช่วงปรีซีซันได้อย่างน่าประทับใจ และน่าจะได้เป็นนักเตะตัวหลักสำหรับฤดูกาล 2012-13 ทว่าอาการบาดเจ็บเอ็นหลังหัวเข่า ทำให้เขาพลาดโอกาสลงสนามไปหลายนัด

นอกจากนี้ ดิ มัตเตโอ ยังโดนปลดจากตำแหน่ง และเป็นราฟา เบนิเตซ ที่เข้ามาคุมทีมแทน ส่งผลให้เขาได้ลงสนามเพียง 6 นัดให้เชลซีในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนั้น

Marko Marin 2020Getty

การทำประตูจากสัมผัสแรก หลังจากลงสนามมาเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 91 เกมที่ชนะวีแกน 4-1 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2013 คือไฮไลท์ที่หาได้ยาก และยังเป็นประตูโทนของเขากับสโมสรแห่งนี้ แม้ว่าจะยังอยู่กับทีมสิงห์บลูไปอีก 3 ฤดูกาล แต่เขาไม่เคยได้ลงเล่นให้เชลซีอีกเลยนับตั้งแต่นั้น

เขาถูกปล่อยยืมตัวไปอยู่กับเซบีญา และเป็นส่วนหนึ่งในทีมแชมป์ยูโรป้าลีก ก่อนจะไปอยู่กับฟิออเรนตินาโดยไม่ได้ลงสนามเลยแม้แต่นัดเดียว และไปอยู่กับอันเดอร์เลชท์ ซึ่งถูกอาการบาดเจ็บเอ็นหลังหัวเข่าเล่นงานอีกครั้ง

การถูกยืมตัวไปเล่นให้แทรบซอนสปอร์ ประสบความสำเร็จด้วยดี ก่อนจะย้ายทีมถาวรไปอยู่โอลิมเปียกอสในปี 2016

มารินเล่นอยู่ที่กรีซ 2 ฤดูกาล ก่อนจะไปอยู่กับเรด สตาร์ เบลเกรด และค้าแข้งอยู่ที่ซาอุดิอาระเบียในปัจจุบัน

ถึงแม้ชีวิตค้าแข้งของเขาจะไม่ได้เป็นอย่างที่ตั้งใจไว้ตอนย้ายมาอยู่เชลซี แต่มารินก็พูดอย่างชัดเจนว่าเขาไม่เคยนึกเสียดายเลยที่ตัดสินใจมาอยู่ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์

"ผมย้ายไปอยู่ที่นั่นด้วยความหวังว่าจะได้ลงสนาม และเล่นได้ดีในช่วงปรีซีซัน แต่แล้วผมก็บาดเจ็บครั้งใหญ่ และกลายเป็นเรื่องยากที่จะได้กลับสู่ทีม" มารินกล่าวกับ Goal

"บางทีผมอาจจะไม่ได้โอกาสลงเล่นมากพอที่จะแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของผม แต่เชลซีก็มีผู้เล่นดีๆ อยู่ตลอด มันเลยเป็นเรื่องยากที่จะได้ลงเล่น

"ตอนที่ผมถูกยืมตัวออกไป ผมต้องคุยกับสโมสรเดือนละครั้ง หลังจบทุกๆ นัด พวกเขาจะส่งข้อมูลวิเคราะห์มาให้ผม เชลซีทำงานอย่างยอดเยี่ยมกับนักเตะที่ถูกยืมตัวทุกคนในชุดนี้ เพราะเปาโล แฟร์ไรรา และเอ็ดดี้ นิวตัน สื่อสารกับนักเตะทุกคนอยู่ตลอด

"มันไม่ใช่ว่าพวกเขาจะส่งคุณให้ทีมอื่นยืมตัวไป แล้วลืมคุณไปเลย ดังนั้น ผมก็ยังดีใจที่เคยได้เป็นส่วนหนึ่งในทีมเชลซี และผมก็ยังเป็นแฟนบอลเชลซีอยู่"

โฆษณา