ผู้ใช้เฟซบุ๊ก สุนันทาวดี สายแวว โพสต์เล่าเรื่องราวน่าประทับใจในกลุ่ม 'สังคมผู้สูงวัย' แชร์ประสบการณ์การเลี้ยงลูกชาย นั่นคือ เกียรติประวุฒิ สายแวว อดีตกองหลังทีมชาติไทย ตั้งแต่แรกเกิดจนก้าวขึ้นมาเป็นนักกีฬาทีมชาติ โดยเนื้อหาที่นำมาเล่าทำให้สมาชิกในกลุ่มอ่านกันเพลิน ๆ จนอยากให้มีตอนต่อไป
โพสต์ดังกล่าวถูกนำมาแชร์เมื่อวันที่ 23 กันยายน ที่ผ่านมา โดยมีภาพ เกียรติประวุฒิ สายแวว อดีตกองหลังทีมชาติไทย แนบมาด้วย ซึ่งผู้โพสต์คือ คุณแม่สุนันทาวดี สายแวว ที่อยากนำเรื่องราวการเลี้ยงลูกชายมาแชร์ให้สมาชิกในกลุ่มได้อ่าน
"เขียนเรื่องใครก็ไม่ลื่นไหลเท่าเขียนเรื่องสามีกับเขียนเรื่องลูกตัวเอง วันนี้ขอเล่าเรื่องลูกชายคนโต เกียรติประวุฒิ สายแวว หรือ คาวบอย อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทยต่อนะคะ มีลูกชายเป็นนักฟุตบอลทีมชาติกับเขาทั้งทีต้องใช้ให้คุ้ม"
"ฉันแต่งงานเมื่อปี 2527 คาวบอยเกิดเมื่อปี 2529 คาวบอยเป็นลูกที่ทำให้ฉันเข็ดหลาบขาบตายในการคลอดลูกมาก ฉันจำได้ว่าเมื่อถึงกำหนดคลอด พ่อกับแม่เดินทางจากโคราชมารอฉันคลอดที่อุบล รออยู่ 3 วัน ฉันก็ไม่มีทีท่าว่าจะคลอด พ่อกับแม่เลยบอกว่าพรุ่งนี้เช้าจะกลับแล้วนะ ฉันไม่อยากให้ท่านทั้งสองกลับเลย เพราะฉันกลัวการคลอดลูกมาก เคยดูหนังเกี่ยวกับการคลอดลูกต้องใช้มีดโกนกรีดช่องคลอด เพื่อให้หัวลูกโผล่ออกมาสะดวก มันหวาดเสียวมาก"
"ในคืนก่อนที่พ่อแม่จะกลับบ้านราว ๆ 21:00 น. ขณะที่ทุกคนจะแยกย้ายเข้านอน ฉันก็มีเลือดไหลออกมาตามขา แม่บอกว่าคงคลอดคืนนี้แหละ"
"สามีของฉันขึ้นไปเอาตะกร้าที่เตรียมไว้สำหรับวันไปคลอดบนบ้าน และไปเรียกรถรับจ้างสองแถว 6 ล้อประจำหมู่บ้าน พอดีวันนั้นมีหนังกลางแปลงมาฉายอยู่ที่โรงเรียนใกล้บ้าน คนขับไปดูหนังจึงให้หลานไปเรียก หายังไงก็หาคนขับไม่เจอ หลานก็เลยแก้ปัญหาโดยการให้คนฉายหนังประกาศหาว่า " ให้ลุงชัยกลับบ้านด่วน น้าติ๋วจะเหมารถไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล" เป็นการประกาศที่รู้เรื่องชัดเจนมาก ก็ดีเหมือนกันลุงชัยจะได้ไม่ต้องสงสัยว่าให้กลับบ้านด่วนไปทำไมวะ"
"พอไปถึงโรงพยาบาล พยาบาลก็ให้ฉันเข้าไปในห้องรอคลอด ห้ามญาติเข้าแต่สามีฉันก็ขออนุญาตเข้าไป เขาบอกฉันว่าพรุ่งนี้เช้าจะมาหาแต่เช้า ทำใจดี ๆ ไม่มีอะไรหรอก แล้วเขาก็บีบมือฉันบอกสู้ ๆ ใจจริงแล้วฉันอยากให้เขาก้มลงจูจุ๊บหน้าผากฉันด้วยเป็นการให้ขวัญกำลังใจฉันอีกสักนิดนึง แต่ก็ได้แค่คิด"
"คืนนั้นเป็นคืนที่สุดแสนทรมานของฉันเป็นอย่างมาก ฉันปวดหน่วงท้องราวกับว่าท้องจะหลุดร่วงหล่นลงพื้นร้องคร่ำครวญทรมานปานจะแดดิ้น จนฉันตะโกนบอกหมอว่าเอาฉันไปผ่าคลอดได้ไหม มันปวดหน่วงปวดเหมือนจะเข้าส้วมพอไปนั่งก็ไม่ออกเป็นอยู่อย่างนี้เกือบทั้งคืน ฉันบอกกับตัวเองว่าฉันจะขอมีลูกแค่คนนี้คนเดียว"
"พยาบาลคนนึงเดินมาดูฉันที่เตียง แล้วบอกว่าเขาก็เจ็บอย่างนี้ทุกคนแหละ อย่าร้องมากยิ่งร้องลูกก็ยิ่งออกช้า เห็นไหมคนที่เข้ามาทีหลัง เขาไม่ร้องเขาออกกันหมดแล้ว ตอนนี้ฉันเลยทั้งปวดท้องทั้งโมโหพยาบาลผสมกันเข้าไป"
"ฉันปวดแบบไม่มีแผ่วมีผ่อนเลยตั้งแต่ 22:00 น. จนถึง 7 โมงไม่ได้งีบแม้แต่น้อย พอลูกคลอดออกมาความเจ็บปวดหายไปเป็นปลิดทิ้ง แต่สิ่งที่ตามมาก็คือไม่รู้ว่าพยาบาลเย็บแผลให้ฉันอีท่าไหน แผลฉันจึงอักเสบไม่สามารถนั่งให้นมลูกตรง ๆ ได้ต้องนั่งเอียง ๆ เพื่อไม่ให้แผลถูกกดทับ"
"คาวบอยก็เลี้ยงยากเกินเหตุ กินนมแม่ทีละน้อยแล้วก็สะบัดหน้าหนีเหมือนอิ่มทำท่าจะหลับ พอแม่จะหลับก็หันหน้าผวาเข้าเต้าจะกินนมอีก เป็นอยู่อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืนจนฉันพ่ายผอม เพียงเวลาแค่เดือนครึ่ง น้ำหนักฉันลดลงจาก 80 กิโล เหลือ 51 กิโล ฉันเหมือนจะเป็นซึมเศร้าเล็ก ๆ ด้วยมีแต่อยากร้องไห้ ไม่หัวเราะไม่สดชื่น ใบหน้าอมทุกข์จนพ่อปู่ทักว่า "คือบ่ซื่นแท้ เป็นอีหยังน้อ" พ่อปู่ฉันเป็นหมอธรรม แกคงคิดว่ามีผีสางมาทำอะไรฉันหรือเปล่า"
"ฉันตัดสินใจเขียนจดหมายไปบอกแม่ว่าให้ขึ้นมาเอาหลานลงไปเลี้ยงที่โคราชด้วย ฉันไม่ไหวแล้วฉันเหนื่อย นอนคืนละไม่ถึง 3 ชั่วโมง ตื่นมาก็ต้องนั่งรถประจำทางไปโรงเรียนซึ่งอยู่ไกลถึงอำนาจเจริญ ระยะทางไปกลับก็ตั้ง 150 กิโลเมตร ...พอสามีฉันรู้ก็ไม่ให้ส่งจดหมายนั้น และบอกว่าเขาจะเลี้ยงลูกเอง ฉันก็เถียงว่าจะเลี้ยงได้ยังไงในเมื่อเต้านมมันอยู่กับฉัน ฉันก็ต้องลุกอยู่ดี สรุปเราก็ได้ช่วยกันเลี้ยงแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ ประมาณ 6 เดือน เขาจึงนอนได้ตามปกติและก็แข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ"
"คาวบอยได้ลงสนามแข่งฟุตบอลครั้งแรกตอนอยู่อนุบาล ในรายการฟุตบอลโกลหนูของอุบล เขาอยากเตะมาก มาขอให้พ่อกับแม่เป็นสปอนเซอร์ให้เขาจะให้พี่ ๆ ป.1 ถึง ป.3 เตะ เพราะรายการนี้เขากำหนดเอาเฉพาะคนที่เรียน ป.1 ถึง ป.3 ส่วนตัวเขาจะขอซ้อมกับพี่ ๆ ก็พอ แต่เขาก็ได้ลงสนามถึง 3 ครั้ง เพราะว่าทีมชนะขาดแล้ว เขาจึงขอพี่ ๆ ลงบ้าง พ่อกับแม่เป็นสปอนเซอร์ให้ขนาดนี้ ขอใช้เส้นหน่อยก็แล้วกัน แต่พ่อเขาบอกว่าคาวบอยเตะเก่งกว่าตัวจริงในทีมหลายคน"
"มีอยู่วันหนึ่งมีรถตำรวจมาจอดที่หน้าบ้าน มีชายฉกรรจ์ใส่ชุดนักกีฬาเต็มหลังรถ มารับเขาให้ไปช่วยเตะบอลในตำแหน่งกองหลังให้ทีมด้วย ฉันก็สงสัยว่าลูกฉันมันเก่งขนาดนั้นเลยหรือ ขนาดตำรวจมาตามเอาเด็ก ม.2 ไปช่วยเตะฟุตบอลให้"
"พอเขาเรียนอยู่ ม. 3 เขาก็เป็นดาวเด่นของจังหวัดไปแข่งขันระดับภาคที่ขอนแก่น และได้รับเลือกเป็นนักฟุตบอลดีเด่นของรายการนั้น ได้รับโล่รางวัลเป็นรูปรองเท้า Nike มาครอง และก็ได้รับรางวัลดาวรุ่งฟุตบอลดีเด่นของช่อง 7 สี ของเอกชัย นพจินดา ตอนนั้นก็เริ่มมีนักจัดรายการวิทยุเกี่ยวกับกีฬาเส้นทางลูกหนังของอุบลมาสัมภาษณ์ฉัน ถึงวิธีการเลี้ยงลูกและบทบาทของผู้ปกครอง แม่ก็เริ่มจะได้หน้าได้ตาเป็นที่รู้จักของคนในจังหวัดเพราะในจังหวัดมีเขาเป็นทีมชาติเพียงคนเดียว"
"พอจบ ม. 3 ก็มีแมวมองมารับเขาไปเรียนต่อที่โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัยชลบุรี และเขาก็ได้ติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นตัวจริงตั้งแต่อายุ 17 ปี เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการเตะบอล จะเตะบอลนิ่ง ส่งบอลแม่น อ่านทางบอลเก่ง อันนี้ฉันฟังจากคนพากย์เวลาเขาลงเตะบอลในทีวีนะ"
"ฉันสาบานได้ว่านี่คือเรื่องจริงที่ว่าลูกฉันติดทีมชาติหลายปี ลงแข่งไม่รู้กี่แมทช์ต่อกี่แมทช์ แต่ฉันก็ไม่เคยดูลูกเตะฟุตบอลเลยทั้งในสนามจริงและในทีวี บางครั้งฉันไม่ฟังแม้กระทั่งเสียงพากย์ เพราะฉันตื่นเต้น กลัวลูกจะสกัดบอลพลาดแล้วเข้าประตูตัวเอง หรือส่งบอลเข้าประตูตัวเอง หรือส่งบอลผิดพลาดให้คู่ต่อสู้ กลัวลูกถูกเตะรวบบาดเจ็บแล้วได้หามลงเปล กลัวลูกเป็นตะคริวจนตัวบิดตัวงอกลางสนามแล้วถูกเขาหามออก ฉันเป็นแม่นักฟุตบอลทีมชาติที่ใช้ไม่ได้เลย"
"ผิดกับพ่อของเขาที่มีความฮึกเหิมราวกับจะลงแข่งเอง พร้อมที่จะเชียร์ลูกตลอดเวลาตามดูทุกแมทช์แบบไม่ให้คลาดสายตา แล้วก็ชมลูกว่าเตะได้ใจพ่อมาก คาวบอยเป็นความสุขของพ่อเป็นหน้าเป็นตาของพ่อในเวลานั้นมาก ไปที่ไหนเขาจะต้องพูดเรื่องลูก ยิ่งมีคนถามยิ่งพูดไม่หยุดจากคนเงียบก็กลายเป็นคนพูดมากขึ้นมาทันที"
"มีอยู่ครั้งเดียวที่ฉันได้ดูลูกลงเตะที่สนามในจังหวัดอุบล เพราะว่าไม่ใช่การแข่งขันแต่เป็นการเตะเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างทีมชาติกับทีมดารา มีอยู่ลูกนึงที่ฉันสงสัยมาก ๆ ว่านักฟุตบอลระดับทีมชาติอย่างเขา ทำไมเลี้ยงบอลมาดี ๆ ถึงเสียท่าให้พี่....(ซึ่งเป็นพระเอกนักร้องชื่อดัง)สไลด์ตัวสกัดบอลออกจากเท้าได้ง่าย ๆ อย่างนั้นล่ะ พอฉันถามลูกก็ยิ้มและบอกว่า เขานัดกันแล้วว่าจะทำแบบนี้ พี่พระเอกคนนั้นก็ได้ภาพเอาไปบรรยายแบบขำ ๆ ว่าเก่งหรือไม่เก่งดูเอาสามารถสไลด์บอลออกจากเท้านักฟุตบอลทีมชาติได้"
"นักฟุตบอลที่เห็นในภาพต่างก็แขวนสตั๊ดกันหมดทุกคนแล้ว โค้ชก็แขวนแล้วด้วยเหมือนกัน ซึ่งก็เป็นกาลครั้งหนึ่งในชีวิตที่ทำให้ครอบครัวภาคภูมิใจจนถึงทุกวันนี้"
สำหรับ เกียรติประวุฒิ สายแวว ถือเป็นนักเตะทีมชาติไทยที่ฝีเท้าดี ก้าวขึ้นมาติดทีมชาติตั้งแต่สมัยดาวรุ่ง ก่อนจะพัฒนาฝีเท้าจนติดทีมชาติชุดใหญ่ รวมถึงเคยเป็นหนึ่งในสามนักเตะไทยที่ได้รับการเซ็นสัญญาไปฝึกซ้อมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ร่วมกับ สุรีย์ สุขะ และ ธีรศิลป์ แดงดา ในยุคที่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าของทีม เมื่อปี 2007
รวมถึงผ่านการค้าแข้งในไทยกับ ชลบุรี เอฟซี, เชียงราย ยูไนเต็ด, โปลิศ เทโร เอฟซี ก่อนจะแขวนสตั๊ดในวัย 32 ปี และมีช่วงเวลาที่หันไปพัฒนานักเตะเยาวชน รวมถึงการเป็นโค้ชให้ทีมบ้านเกิดอย่าง วารินชำราบ เอฟซี โดยปัจจุบัน เกียรติประวุฒิ ใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยการพาลูกสาวไปเรียนหนังสือ
