Michael ByrneGoal Thailand

ย้อนรอยตำนานไทยลีก : ไมเคิล เบิร์น ราชาไร้บัลลังก์

ในยุคสมัยที่ฟุตบอลไทยยังไม่เฟื่องฟู ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเห็นนักเตะยุโรปจะย้ายมาค้าแข้งในไทยลีก ยิ่งการจะสร้างชื่อเป็นตำนานก็แทบเป็นไปไม่ได้

แต่ดาวเตะชาวเวลส์ที่ตัดสินใจข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาความท้าทายกับอาชีพฟุตบอลในประเทศไทยสามารถทำสิ่งนั้นได้ เขาคือ ไมเคิล เบิร์น...

ไมเคิล เบิร์น เริ่มต้นเส้นทางลูกหนังเป็นเด็กฝึกหัดของ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ทีมดังของอังกฤษ ก่อนจะเซ็นสัญญาอาชีพเต็มตัวกับ สต็อคปอร์ท เคาน์ตี้ อย่างไรก็ตามการเล่นลีกอาชีพในยุโรปของเขาไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เบิร์น ถูกปล่อยให้ ลีห์ อาร์เอ็มไอ หรือ ลีห์ เจเนซิส ในปัจจุบัน ยืมตัวก่อนจะถูกต้นสังกัดอย่าง สต็อคปอร์ท เคาน์ตี้ ยกเลิกสัญญา และย้ายไปอยู่กับ นอร์ธวิช วิคตอเรีย ซึ่งเป็นทีมในลีกสมัครเล่นของ อังกฤษ

อ่านบทความต่อด้านล่าง
Michael ByrneMichael Byrne

ช่วงหนึ่ง เบิร์น เคยถูกเรียกติดทีมชาติเวลส์ รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี รวมถึงทีมชาติเวลส์ ชุดบี ซึ่งเป็นหนึ่งในโมเมนต์ที่เขาประทับใจไม่ลืมกับการได้รับใช้บ้านเกิด แต่หนทางอาชีพในระดับสโมสรไม่ได้ราบรื่น ทำให้เขาตัดสินใจเผชิญความท้าทายใหม่เมื่อเดินทางข้ามโลกมาประเทศไทย ซึ่งเวลานั้นฟุตบอลไทยยังไม่เป็นอาชีพเต็มตัวที่มีเงินหนาเหมือนปัจจุบัน ดังนั้นการมีนักเตะยุโรปสักคนบินมาเล่นลีกอาชีพเป็นเรื่องยาก ไม่ใช่แค่สไตล์ฟุตบอลที่ต่างกัน แต่เรื่องเงินเป็นปัจจัยสำคัญที่หลายสโมสรยังไม่กล้าทุ่มซื้อแข้งยุโรป โดยเฉพาะนักเตะโนเนมที่ไม่มีใครรู้จักอย่างเขา

แต่แล้วโชคชะตาเหมือนขีดเขียนให้เขาเป็นว่าที่ตำนานไทยลีก เมื่อได้เซ็นสัญญากับ นครปฐม เอฟซี เป็นสโมสรแรกในไทย แต่ตอนเริ่มแรกเขาแปลกใจกับระบบการจ่ายเงินของสโมสร เพราะเพิ่งรู้ว่า ทีมในไทยจ่ายค่าเหนื่อยเป็นรายเดือนต่างจากยุโรปที่จ่ายเป็นสัปดาห์ แต่เขาโฟกัสกับฟุตบอลเท่านั้นจึงไม่ติดใจอะไร และเปิดรับโอกาสนั้นเพื่อนับหนึ่งกับฟุตบอลอาชีพในแดนสยาม

เขาสามารถเล่นได้ทั้งกองหน้า และกองกลาง เพียงทีมแรกเขาจัดการโชว์ฟอร์มเปรี้ยงปร้างกับคลาสบอลเหนือชั้นที่ดูเหมือน นครปฐม จะเล็กเกินไปสำหรับเขา ทำให้ต่อมา ชลบุรี เอฟซี มหาอำนาจลูกหนังไทยในตอนนั้นทุ่มคว้าเขาไปร่วมทัพเพื่อแทนที่ สุรัตน์ สุขะ กองกลางที่ย้ายไปเล่น เมลเบิร์น วิคตอรี่ ใน เอลีก ออสเตรเลีย

Michael ByrneMichael Byrne

การมาของเขาในสีเสื้อ ชลบุรี คือช่วงเวลาที่ชื่อของ ไมเคิล เบิร์น เป็นที่รู้จักวงกว้างมากขึ้น และเมื่อได้ลงโชว์ฝีเท้าในสนาม เบิร์น ไม่ต่างจากสัญลักษณ์ ฉลามชล ในยุคนั้น ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่เสียงเรียกชื่อ ไมเคิล เบิร์น เทียบเคียงกับบรรดาผู้เล่นไทยฝีเท้าดีในทีมภายใต้การคุมทีมของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ซึ่ง เบิร์น เคยยอมรับว่า นั่นคือช่วงเวลาที่เขามีความสุข และมีความมั่นใจกับฟุตบอลอย่างเต็มเปี่ยม

“ตอนที่ผมอยู่กับชลบุรี (2009) ที่คุมทีมโดย 'ซิโก้' เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ตอนนั้นผมเล่นได้ดีจริง ๆ และความมั่นใจก็เต็มเปี่ยม”

“ทุกอย่างเกี่ยวกับฟุตบอลมันลงตัวไปหมด ไม่ว่าจะการฝึกซ้อม หรือเกมในสนาม รวมไปถึงความสัมพันธ์ของผมกับโค้ชด้วย”

ตลอดช่วงเวลากับ ฉลามชล แม้จะไม่มีแชมป์ติดมือ แต่ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ดาวเตะชาวเวลส์ไต่ระดับจากแข้งโนเนมเป็นกองกลางฝีเท้าดีแถวหน้าของลีก และนั่นคือสาเหตุที่ บางกอกล๊าส เอฟซี หรือ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน ทุ่มดึงเขาไปร่วมทีม ซึ่งเดิมที่ บางกอกกล๊าส ติดตามดูฟอร์มของเขามาตั้งแต่สมัย นครปฐม แล้ว

ไมเคิล เบิร์นBG

หลังย้ายสู่รัง กระต่ายแก้ว เบิร์น ยังเป็นที่นิยม และเป็นที่รักของแฟนบอล การผ่านบอลของเขายังแม่นยำบวกกับเซนส์ยิงประตูยังเฉียบคมเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนความสุขใน ลีโอ สเตเดียม จะสั้นไปสักหน่อย เพราะในปี 2011 เขาไม่อยู่ในแผนการทำทีม ก่อนตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ ชัยนาท ฮอร์นบิล แบบสุดเซอร์ไพร์ส ด้วยสัญญาระยะสั้น 6 เดือน

แม้ช่วงแรก เบิร์น เจออาการบาดเจ็บเล่นงาน และมีปัญหาเรื่องความฟิต แต่เขาก็ยังกลับมาสมบูรณ์จนได้รับการต่อสัญญา และกลายเป็นแข้งคนสำคัญของ นกใหญ่พิฆาต ตลอด 2 ฤดูกาล อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นชีพจนลงเท้าย้ายสู่ลีกล่างกับ อยุธยา เอฟซี ก่อนที่ปี 2015 จะย้ายสู่ หัวหิน ซิตี้ และเป็นปีสุดท้ายสำหรับเขาบนเส้นทางค้าแข้งในเมืองไทย

ต้นปี 2016 เบิร์น ตัดสินใจอำลาการค้าแข้งในไทยเพื่อกลับยุโรป ปิดฉาก 7 ปี กับวันแรกที่เริ่มต้นสู่ตำนานไทยลีก

ไมเคิล เบิร์นวานา นาวา หัวหิน

“ที่สุดก็ถึงเวลาบอกลาบ้านหลังที่สองของผม.. ผมต้องขอขอบคุณทุกๆคนสำหรับแรงสนับสนุนและความช่วยเหลือต่างๆตลอด 7 ปี แห่งความสุขและความสำเร็จของผมที่เมืองไทย”

“ผมไม่มีทางที่จะลืมแฟนๆและเพื่อนที่แสนวิเศษทุกๆคนที่นี่ พวกคุณจะยังอยาในหัวใจของผมตลอดไป..แต่ถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องออกเดินทางต่อ พร้อมเผชิญกับสิ่งท้าทายใหม่ๆที่รอผมอยู่ข้างหน้าในฐานะ ”นักฟุตบอลอาชีพ” ต่อไป..”

ไมเคิล เบิร์น กลับไปใช้ชีวิตที่ประเทศสก็อตแลนด์ ซึ่งก่อนหน้านั้นช่วงแรกที่เขากลับยุโรป เบิร์น ยังมีความคิดที่จะค้าแข้งต่อไป แต่ค่าตอบแทนที่จะได้รับนั้นน้อยนิด ประกอบกับเขามีภาระหน้าที่ดูแลครอบครัว ทำให้ตัดสินใจแขวนสตั๊ด และมุ่งหน้าทำธุรกิจเกี่ยวกับขายเสื้อผ้าออนไลน์ ที่ปัจจุบันกำลังไปได้สวย

และล่าสุดเป็นข่าวดีสำหรับแฟนบอลที่ยังคิดถึงเขา เพราะ เบิร์น กำลังจะกลับมาประเทศไทยเพื่อสร้างอคาเดมีลูกหนัง อาจเป็นย่าน เกษตร-นวมินทร์ หรือ ลาดพร้าว เดิมทีเป็นแพลนที่เขาวางไว้ตั้งแต่ปี 2020 แต่เหตุผลเรื่องโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถเดินทางกลับมาได้ แต่เร็วๆนี้เราจะได้เห็นเขาแน่นอน ซึ่งอคาเดมีนี้ เบิร์น ร่วมมือทำกับเพื่อนซี้ออย่าง จักรพันธ์ พรใส และแขกสุดพิเศษ พี่ตูน บอดีสแลม หนึ่งในแฟนบอลที่ชื่นชอบตัวเขา ก่อนจะกลายเป็นเพื่อนซี้ ที่จะมาเป็นแอมบาสเดอร์อคาเดมีแห่งนี้

Michael ByrneMichael Byrne

อย่างไรก็ตามแม้จะถูกยกย่องเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่เข้ามาสร้างสีสันฝากฝีเท้าจนกลายเป็นตำนานไทยลีก แต่ เบิร์น มีเรื่องค้างคาใจที่เขายังคงรู้สึกเสียดายมาจนทุกวันนี้...

“ตลอด 7 ปี ผมมีโอกาสเล่นให้หลายสโมสรในไทย มันเป็นความทรงจำที่ดี แต่มีสิ่งที่ผมเสียดายมากที่สุดที่ยังทำไม่ได้คือการที่ผมไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆที่นั่นได้เลย”

“ตอนอยู่กับ ชลบุรี เอฟซี ในฤดูกาล 2009 ผมมีโอกาสเข้าใกล้แชมป์ไทยลีก องค์ประกอบทุกอย่างพร้อม และมีศักยภาพมากพอ แต่เราผิดพลาดในช่วงท้ายจนต้องพลาดแชมป์ไป(ฉลามชล จบรองแชมป์ ส่วนเมืองทองฯ คว้าแชมป์ไปครองมีคะแนนห่างกันเพียง 3 คะแนน) หลังจากนั้นปี 2010 ชลบุรี ได้แชมป์เอฟเอ คัพ แต่ปีนั้นผมย้ายไป บีจี(บีจี ปทุม ยูไนเต็ด) พอดีเลยไม่ได้มีโอกาสคว้าแชมป์กับทีม”

“มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้ผมยังเสียดายมาจนถึงทุกวันนี้” ไมเคิล เบิร์น กล่าวปิดท้าย

โฆษณา