สำหรับคนที่สงสัยว่า อเล็กซานเดร ปาโต้ อยู่ที่ไหน คำตอบคือเขาเพิ่งได้สโมสรใหม่หมาดๆ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ หลังจากว่างงานมาเกือบ 7 เดือนเต็มๆ
ด้วยวัย 31 ปี ปาโต้กลายเป็นนักเตะไร้สังกัดเมื่อเดือนสิงหาคม หลังจากที่เซา เปาโล ตกลงยกเลิกสัญญากับเขา และถึงแม้สถานการณ์เรื่องโควิด-19 จะทำให้หลายสโมสรอาจสนใจหานักเตะฟรีเอเยนต์มาร่วมทีมมากขึ้น แต่เขากลับต้องรอจนถึงเมื่อสองสัปดาห์ก่อน กว่าจะได้สโมสรใหม่เป็น ออร์แลนโด้ ซิตี้
สถานการณ์ในปัจจุบันของปาโต้ ช่างแตกต่างจากตอนที่ชีวิตค้าแข้งของเขาเริ่มต้นอย่างสิ้นเชิง ในวันนั้น ทุกอย่างที่เขาสัมผัสดูเหมือนจะกลายเป็นทองคำไปเสียหมด
ด้วยวัย 17 ปี ปาโต้กลายเป็นนักเตะที่ได้รับการจับตาทันทีที่เขาทำลายสถิติของเปเล่ ด้วยการเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในรายการแข่งขันของฟีฟ่า ตอนที่เล่นให้อินเตอร์นาซิอองนาล ในคลับ เวิลด์ คัพ เมื่อปี 2006
จากนั้น เขาก็ยังสร้างผลงานได้อย่างต่อเนื่องในระดับทีมชาติ ด้วยการยิงประตูภายในเวลาไม่กี่วินาที ในเกมนัดแรกกับทีมชาติบราซิลเมื่อปี 2008 เป็นอีกครั้งที่เขาทำลายสถิติของเปเล่ ด้วยการเป็นนักเตะที่ยิงประตูได้เร็วที่สุดในเกมประเดิมสนามให้ทัพแซมบ้า
นัดต่อไป
หลังจากนั้น เขาก็ได้ย้ายไปอยู่ เอซี มิลาน ด้วยค่าตัว 24 ล้านยูโร ซึ่งเขาทำประตูได้ทันทีตั้งแต่นัดแรกที่ลงสนามในเซเรีย อา พบนาโปลี เมื่อจบฤดูกาล 2008-09 เขายิงได้ 18 ประตู รวมทุกรายการ เป็นดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรในฤดูกาลนั้น ด้วยวัยเพียง 19 ปี
หลังจากเป็นดาวเด่นในอิตาลี ปาโต้ได้รับการจับตามองจากทั่วยุโรป ในเดือนตุลาคม 2009 ที่เขายิงสองประตูในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก พาทีมปีศาจแดงดำเอาชนะเรอัล มาดริด ได้อย่างน่าประทับใจ 3-2
หลังจากเปิดฉากได้อย่างสวยหรู ร่างกายของเขากลับทรยศต่อพรสวรรค์ที่เขามีด้วยอาการบาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้นักเตะดาวรุ่งแห่งปีของเซเรีย อา เมื่อปี 2009 กลายเป็นนักเตะที่น่าผิดหวังที่สุดในปี 2012 จนได้รับรางวัลถังขยะทองคำ (Bidone d'oro หรือ Golden Bin) มาครอง
"อาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ กลับกลายมาเป็นเรื่องใหญ่ ผมสูญเสียความเชื่อมั่น ผมรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะพวกเขาโทษผม" ปาโต้กล่าวทาง Gazzetta เกี่ยวกับชีวิตค้าแข้งที่มิลาน
ในช่วงต้นปี 2013 ปาโต้เดินทางกลับบราซิลเพื่อย้ายไปอยู่กับโครินเธียนส์ และได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี
อย่างไรก็ดี เขากลับทำผลงานได้อย่างไม่น่าประทับใจนัก มีแฟนบอลจำนวนมากวิจารณ์เขาอย่างหนักจากฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ของเขา จนในปีถัดมา เขาก็ถูกปล่อยตัวไปให้เซา เปาโล ยืมไปใช้งาน ก่อนจะกลับมาคืนฟอร์ม จนเชลซียืมตัวเขาไปเล่นชั่วคราวในปี 2016
แม้จะทำประตูได้ในเกมประเดิมสนามบนเวทีพรีเมียร์ลีก ปาโต้กลับไม่ค่อยได้รับโอกาสลงเล่นมากนักกับเชลซี ก่อนที่อีก 6 เดือนต่อมา เขาจะต้องออกจากสโมสร โดยที่ได้รับโอกาสลงสนามเพียง 2 นัด
Getty Imagesจากนั้น เขาก็ได้ย้ายไปอยู่ในสเปนกับบียาร์เรอัล ซึ่งด้วยค่าตัวแสนถูก เมื่อเทียบกับตอนที่เอซี มิลาน เคยคว้าตัวเขาไปร่วมทีมเมื่อ 9 ปีก่อนหน้านั้น
หลังจากยิงได้เพียง 6 ประตู ตลอดฤดูกาล 2016-17 ทีมเรือดำน้ำสีเหลืองก็ปล่อยตัวเขาไปให้ยักษ์ใหญ่จากจีนอย่าง เทียนจิน ฉวนเจียน ที่พร้อมจะจ่ายค่าตัวเขาถึง 18 ล้านยูโร
แม้จะไม่ประสบความสำเร็จนักในยุโรป แต่ปาโต้กลับทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมบนทวีปเอเชีย เขายิงไป 36 ประตู ตลอด 2 ฤดูกาลกับเทียนจิน
"สองปีนี้กับเมืองจีน มีแต่ช่วงเวลาที่มีความสุขกับเพื่อนร่วมทีมของผม มีประสบการณ์ใหม่ๆ มากมาย ผมมั่นใจว่าเมืองจีนช่วยให้ผมเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่" ปาโต้เปิดเผยทาง Weibo เมื่อปี 2019
"ผมได้ไปเยือนเมืองใหม่ สถานที่ใหม่ๆ ผมได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่างออกไปในประเทศที่ยอดเยี่ยมแห่งนี้ ผมได้ช่วยทีมของผมด้วยประตูและฟุตบอลของผม ได้ไปเล่นในเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร"
ตอนต้นปี 2019 ปาโต้กลับมาอยู่กับเซา เปาโล แต่การยิงไปเพียง 9 ประตู จากการลงสนาม 34 นัด ทำให้การกลับมาเยือนถิ่นเก่าของเขาต้องจบลงในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ด้วยวัย 31 ปี ปาโต้ต้องดิ้นรนหาสโมสรใหม่อย่างหนัก ก่อนจะได้เซ็นสัญญากับออร์แลนโด้ ซิตี้ เขามีข่าวลือว่าอาจจะได้กลับไปเล่นในอิตาลีกับสโมสรที่ครั้งหนึ่งเขาเคยสร้างชื่อมาแล้วอีกครั้ง
"ผมอยากจะกลับไปยุโรป" ปาโต้กล่าวทาง Gazzetta เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว "กับเอซี มิลาน มันคงจะเป็นเรื่องที่ดีมากๆ"