“ทาคุมะเป็นกองหน้าดาวรุ่งมากพรสวรรค์ที่มีอนาคตสดใสคนหนึ่ง" อาร์แซน เวงเกอร์ เคยกล่าวเอาไว้เมื่อปี 2016 ตอนที่อาร์เซนอลเปิดตัวนักเตะรายนี้แบบสุดเซอร์ไพรส์
“เขาเริ่มต้นชีวิตค้าแข้งในญี่ปุ่นได้อย่างน่าประทับใจมากๆ และเราก็อยากจะพัฒนาเขาต่อไปอีกหลายๆ ปี"
คำพูดดังกล่าวของเวงเกอร์มีทั้งส่วนที่ถูก และส่วนที่ผิด
ทาคุมะ อาซาโนะ เริ่มต้นการเป็นนักเตะอาชีพได้ดีจริงๆ ในประเทศบ้านเกิด แต่เขากลับไม่ได้มีเส้นทางชีวิตค้าแข้งที่สดใสเหมือนอย่างที่เวงเกอร์คาดเอาไว้
อาซาโนะเปิดฉากการเป็นนักเตะอาชีพในญี่ปุ่นได้แบบสุดฮือฮา เมื่อเขาอยู่กับซานเฟรชเช ฮิโรชิมา ทีมแชมป์เจลีก เมื่อปี 2013 ด้วยวัยเพียง 18 ปี ได้เล่นในเกมของทีมชุดใหญ่ไป 1 นัดในปีนั้น ก่อนจะยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมได้อย่างรวดเร็ว
ในปี 2015 ซึ่งฮิโรชิมาได้แชมป์สมัยที่ 3 ในรอบ 4 ฤดูกาล เขาเป็นหัวหอกตัวหลัก ยิงได้ 9 ประตู จาก 34 นัด และได้เป็นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งนี้ในคราวนั้น
ผลงานของเขาไปเตะตาเวงเกอร์เข้าอย่างจัง จนอาร์เซนอลเข้ามาทาบทามและดึงเขานักเตะรายนี้ไปอยู่กับทีมปืนใหญ่เมื่อปี 2016 ซึ่งในตอนนั้นเขาอายุ 21 ปี และมีหลายคนในสโมสรคาดหวังว่าเขาจะกลายเป็นตัวความหวังของทีมในอนาคต
Gettyอย่างไรก็ดี อาซาโนะกลับเจอปัญหาทันที เมื่อเขาขอใบอนุญาตทำงานไม่ผ่าน
ในตอนนั้น นักเตะจากนอกอียู จะต้องติดทีมชาติมากประมาณหนึ่ง หรือมีค่าตัวมากกว่าที่อาซาโนะเป็นอยู่ นั่นทำให้เขาไม่ได้รับโอกาสลงเล่นในพรีเมียร์ลีก
อย่างไรก็ดี ศักยภาพของเขา ที่เวงเกอร์เคยมองเห็นก็ไม่ได้หายไปไหน เขาเป็นนักเตะที่ว่องไว เลี้ยงบอลดี มีสไตล์การเล่นที่ดุดัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมปืนใหญ่ประทับใจ นักข่าวบางคนในญี่ปุ่นถึงขั้นเคยยกเขาไปเปรียบเทียบกับ เอเดน อาซาร์ สตาร์ทีมชาติเบลเยียม รวมถึงธีโอ วัลคอตต์ แนวรุกความเร็วสูงทีมชาติอังกฤษ
"เขาเป็นนักเตะที่มีส่วนผสมของเอเดน อาซาร์ กับธีโอ วัลคอตต์" โกกิ ฮาราดะ นักข่าวญี่ปุ่นเคยกล่าวเอาไว้ทาง Bleacher Report เมื่อปี 2016
"เขารวดเร็ว และมีศักยภาพในการหาพื้นที่ว่างหลังแนวรับ เขาไม่ได้เพียงเป็นจอมถล่มประตู แต่ยังสร้างโอกาสได้ดีอีกด้วย
"เขาได้รับฉายาว่า เสือจากัวร์ เพราะเขาวิ่งเร็ว และคอยไล่ล่าบอลอยู่เสมอ เขาเลยทำท่าเหมือนเสือจากัวร์ เวลาดีใจเมื่อทำประตูได้"
หลังจากนั้นสามฤดูกาล อาซาโนะถูกยืมตัวไปเล่นในเยอรมัน เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามจากอาร์เซนอลที่จะให้เขาผ่านเวิร์คเพอร์มิตให้ได้
อาซาโนะมีส่วนพาสตุ๊ทการ์ทคว้าแชมป์บุนเดสลีกา 2 ในฤดูกาล 2016-17 แต่ฟอร์มในลีกสูงสุดของเยอรมันกลับไม่ค่อยดีนัก เขาได้ลงเล่นไปเพียง 28 นัด กับสตุ๊ทการ์ท และฮันโนเวอร์ ตลอดระยะเวลา 2 ฤดูกาลรวมกัน ยิงได้เพียง 1 ประตูในช่วงเวลาดังกล่าว
ในช่วงเวลานั้น เขายังมีปัญหาในเรื่องเวิร์คเพอร์มิตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ส่งผลกระทบถึงทีมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การไม่ค่อยได้รับโอกาสในระดับสโมสร ทำให้เขาไม่ได้เป็นหนึ่งใน 23 นักเตะญี่ปุ่นที่ไปเล่นในฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย
ในปี 2019 อาซาโนะเจอจุดเปลี่ยนอีกครั้ง
เขาถูกฮันโนเวอร์ปล่อยตัวออกจากทีม เพราะไม่อยากตัดสินใจซื้อขาด ซึ่งส่งผลพอสมควรต่อความมั่นใจอของนักเตะรายนี้
"ฤดูกาลนี้ ผมเจ็บซ้ำๆ และไม่มีโอกาสเล่นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทำผลงานไม่ได้เลย" อาซาโนะบันทึกเอาไว้ทางบล็อกของตัวเอง
"ผมคิดว่ามันเป็นฤดูกาลที่ยาก หนักหนาสาหัส และน่าหงุดหงิด อย่างเดียวที่ผมพอจะมั่นใจได้คือความรู้สึกว่าผมยังคงเติบโตขึ้นในทุกๆ วัน
"ผมอยากจะทำให้ได้ดีที่สุดอีกครั้งนับจากตรงนี้ และพยายามนำความเติบโตที่ว่าไปสร้างผลงานให้ได้"
หลังจากเหลือสัญญากับอาร์เซนอลเพียง 1 ปี ด้วยวัย 24 ปี เขาอยากจะเริ่มต้นใหม่ และได้รับอนุญาตให้ย้ายทีมถาวร
เขาใช้เวลา 2 ฤดูกาลไปกับปาร์ติซาน เบลเกรด หลังจากที่ได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอเป็นครั้งแรกในยุโรป ในที่สุดเขาก็ค้นพบฟอร์มเก่งของตัวเอง
(C)Getty Imagesในฤดูกาล 2020-21 เขายิงได้ 18 ประตู จาก 33 นัดในลีก และได้ย้ายกลับไปเล่นในเยอรมันกับโบคุมเมื่อจบฤดูกาลนั้น
แม้จะยังห่างไกลจากการเป็นจอมถล่มประตูในบุนเดสลีกา แต่ด้วยความขยัน และทุ่มเท ทำให้เขาได้รับโอกาสลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ
ในที่สุด อาซาโนะก็ได้กลับสู่ทีมชาติญี่ปุ่น หลังจากหายหน้าหายตาไปนานถึง 2 ปี และถึงแม้จะไม่ได้ลงสนามมากนักในรอบคัดเลือก แต่เขาก็เป็นหนึ่งใน 26 ขุนพลของทีมชาติญี่ปุ่นชุดนี้ได้สำเร็จ
เขาอาจจะไม่ได้เป็นตัวจริงในเกมฟุตบอลโลก 2022 นัดแรกของญี่ปุ่นที่เจอเยอรมัน แต่การลงมาเป็นซูเปอร์ซับที่ช่วยพลิกรูปเกมของญี่ปุ่นให้กลับมาดีขึ้นทันตา และเป็นคนยิงประตูชัยในนาทีที่ 83 ให้ทีมเก็บชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนัดหนึ่งในประวัติศาสตร์ประเทศก็ควรค่าเหลือเกินแก่การจดจำ
Gettyในที่สุด สิ่งที่เวงเกอร์พูดเอาไว้เสมอว่าอาซาโนะเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีอนาคตสดใจก็กลายเป็นความจริง เพียงแต่มันอาจจะต้องใช้เวลากว่าที่ใครๆ คาดเอาไว้ก็เท่านั้น